รีวิวทริปเที่ยว บาหลี อินโดนีเซีย อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลายๆ คน ไปเที่ยวแล้วรับรองติดใจแน่นอน เพราะเที่ยวง่าย วิวสวย ทะเลดี บรรยากาศสุดชิล สายถ่ายรูปเลิฟแน่นอน ที่สำคัญค่าครองชีพต่างๆ ไม่แพงมากด้วย
เตรียมตัวเดินทางไปบาหลี
- วีซ่า ผู้ที่ถือ passport ไทยไม่ต้องขอวีซ่า และสามารถอยู่ที่อินโดนีเซียได้ไม่เกิน 30 วัน
- สายการบิน ตอนที่เราไปมีสายการบิน บินตรง 2 สายการบิน คือ Air Asia และการบินไทย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง
- เวลา เวลาที่บาหลี เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง
- ค่าเงิน สกุลเงินที่อินโดนีเซีย คือ IDR (รูปียะฮ์) ช่วงที่เราไปเรท 1,000 IDR = 2.30 – 2.50 บาท เวลาคิดเงินก็คิดคร่าวๆ ตัดศูนย์ข้างหลังออกไป 3 ตัว แล้วคูณ 2.5 เช่น ของราคา 50,000 IDR จะประมาณ 125 บาท
- ซิมโทรศัพท์ เราใช้แพคเกจของ Dtac แพคเกจ Go Travel ราคา 399 บาท ได้ 10GB ซื้อเพิ่มจาก App Dtac ได้เลย ไปถึงไม่ต้องเปลี่ยนซิมแค่เปิด Roaming ก็ใช้งานได้เลยค่ะ แพคเกจแบบนี้ค่ายอื่นก็มีเหมือนกันนะคะ สามารถซื้อแพคเกจเพิ่มได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิม สะดวกสุดๆ
- ปลั๊กไฟ บาหลีใช้ไฟ 220 VAC 50 Hz เหมือนบ้านเรา แต่ว่าตัวปลั๊กจะไม่เหมือน จะเป็นรูกลม 2 รู เต้าลึกลงไป ถ้าลืม adapter จริงๆ ไปหาซื้อที่ร้านสะดวกซื้อได้ค่ะ ราคาไม่แพงมาก และบางโรงแรมก็จะมี Adapter 1 ตัววางไว้ให้ในห้องเรียบร้อย
- การแต่งกาย ในการเที่ยววัดต่างๆ ต้องแต่งกายมิดชิด ใส่เสื้อมีแขน และกระโปรงหรือกางเกงขายาว แต่ส่วนมากที่วัดเค้าจะมีผ้าคลุมไหล่กับโสร่งไว้ให้ค่ะ
มาถึงแพลน เที่ยวบาหลี อินโดนีเซีย กันบ้าง
*เราเดินทางไปช่วง เดือน กรกฎาคม
โดยเริ่มจากเกาะ Nusa Penida สถานที่เที่ยวที่เราไปมีตามนี้ค่ะ
- Nusa Penida Island
- Kelingking Beach
- Angel Billabong
- Broken Beach
- Crystal Bay
- Teletubies Hills
- Treehouse
- Diamond Beach
- Uluwatu Temple
- Ubud
- Lempuyang Temple Gate of Heaven
- Tirta Gangga Water Palace
- Suwat Waterfall
วันที่ 1 กรุงเทพ – บาหลี – Nusa Penida
จากประเทศไทย เราเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ไฟล์ทเช้าตรู่ 06.15 น. โดยสายการบิน Air Asia บินตรงสวยๆ ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง 20 นาที ถึงสนามบินเดนปาซาร์ประมาณ 11.30 น.
ตอนลงเครื่องแล้วเดินออกมาตรงทางออกคือตกใจมาก คนมารอรับเยอะมาก จนหาคนขับรถที่เรานัดไว้แทบไม่เจอ ฮ่าฮ่า ก่อนเดินทาง เราจองรถเช่าพร้อมคนขับจาก Klook ให้มารับ เราเดินทาง 3 คน หารกันแล้วราคาถือว่าโอเคเลย ไม่แพงมาก
จุดหมายแรกของเรา เราจะเดินทางไปที่ Nusa Penida กันเลย เราจองรถให้ไปส่งที่ท่าเรือ Sanur ไปถึงไปเดินเลือกได้เลยว่า อยากเดินทางรอบกี่โมง มีเรือให้เลือกหลายเจ้า
หรือถ้าใครกลัวเรือจะเต็ม สามารถจองจาก Klook ล่วงหน้าได้เหมือนกัน ค่าตั๋วเรือ ตอนเราไปเที่ยวละ ประมาณ 250-300 บาท ประมาณนี้ค่ะ
หลังจากได้ตั๋วเรือและป้าย tag ไว้ขึ้นเรือเรียบร้อย เราก็ไปเดินหาของกินแถวใกล้ๆ ท่าเรือ มีร้านของกิน ให้เลือกอยู่หลายร้าน เราเลือกกินอะไรง่ายๆ เจอเต้าหู้ทอดน่าลองแฮะ ก็อร่อยแปลกๆ ดี ฮ่าฮ่า
ถึงเวลาก็เดินไปรอที่ท่าเรือ เค้าก็จะเรียกขึ้นเรือตามสีของ tag ที่เค้าแจกมา อารมณ์เหมือนขึ้นเรือไปหลีเป๊ะบ้านเรานี่แหละ
เรือเป็นสปีดโบ๊ท ใช้เวลาเดินทางไป Nusa Penida ไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงแล้ว เราแจ้งที่พักให้นัดรถมารับที่ท่าเรือ เค้าคิดประมาณ 100,00 IDR ประมาณ 2 ร้อยกว่าบาท หารกัน 3 คนก็โอเค
ที่พักของเรา จองไว้ที่ “Kayuna Villa” ที่เราเลือกที่นี่เพราะว่า เราจะมาดำน้ำแบบ Scuba ที่ Nusa Penida ด้วย 2 วัน เราก็เลยจองที่พักตรงข้าม Dive Shop ที่เราติดต่อไว้ค่ะ ใครไม่ดำน้ำ Scuba ที่นี่เค้ามีแพคเกจแบบ Snorkeling แบบครึ่งวันด้วย ไปลองหาดูกันได้ค่ะ
และก็ไม่ผิดหวัง ที่พักดี ราคาไม่แรง ห้องใหญ่ สะอาด ที่พักไม่ใหญ่มาก สงบดี แต่ไม่ดีตรงที่ไกลจากที่กินต่างๆ ไปหน่อย ถ้าไม่ได้จะมาดำน้ำ จะมีโซนที่อยู่ใกล้ๆ แหล่งของกิน แบบมีร้านค้า ร้านสะดวกซื้อค่ะ
เอารูปที่พักมาฝากกันก่อนเลย
ช่วงเย็นเราเดินไปหาของกินง่ายๆ ใกล้ๆ ที่พัก แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เตรียมลุยวันพรุ่งนี้
วันที่ 2 เที่ยวเกาะ Nusa Penida ฝั่งตะวันตก
ที่เที่ยวบนเกาะ Nusa Penida จะแบ่งเป็น ฝั่งตะวันตก กับ ตะวันออก แต่ละฝั่งมีที่เที่ยว 4-5 ที่ ตอนเช้าเราออกไปดำน้ำ 2 ไดฟ์ กลับมาถึงที่พัก อาบน้ำ กินข้าว นัดรถมารับประมาณบ่ายโมง เราเริ่มเที่ยวฝั่งตะวันตกก่อนค่ะ
เรายังคงเช่ารถจาก Klook เพื่อพาเราไปเที่ยวรอบๆ เกาะ Nusa Penida ค่ะ อันนี้แอบลองเทียบราคาระหว่างราคาของโรงแรมกับใน Klook ของ Klook ถูกกว่านิดนึงค่ะ
ใครจะเช่ามอเตอร์ไซต์ขี่ก็ได้นะคะ แต่ว่าที่เที่ยวแต่ละที่ก็แอบอยู่ไกลเหมือนกัน และแดดค่อนข้างร้อนมากทีเดียว ที่สำคัญทางไม่ค่อยดี และถนนแคบมากๆ ถ้าใครจะเช่ามอเตอร์ไซต์ขี่รอบเกาะ ต้องขี่แข็งระดับนึงเลย ขนาดนั่งรถ ตอนเค้าขับสวนกันนี่เสียวจะเกี่ยวกันเหลือเกิน ฮ่าฮ่า ถนนแคบมากเว่อร์
วันนี้เราเลือกเที่ยวโซนฝั่งตะวันตก ที่เที่ยวที่เราจะไป คือ
- Kelingking Beach
- Angel Billabong
- Broken Beach
- Crystal Bay
Kelingking Beach
จากที่พักของเราเดินทางไปที่ Kelingking Beach เป็นที่แรก ที่นี่เรียกว่าได้ว่าเป็นไฮไลท์ของ Nusa Penida ใครมาแล้วไม่ได้รูป T-Rex Rock เรียกว่ามาไม่ถึงน้า
ตรงจุดที่จะถ่ายรูปคู่กับ T-Rex Rock ต้องมีการต่อคิวกันนานพอสมควร และคนขับรถของเราจะปีนต้นไม้อีกฝั่ง เพื่อถ่ายรูปมุมสูงให้ค่ะ ฮ่าฮ่า เรียกว่าเป็นสกิลของคนขับรถที่นี่ต้องมี
เราสามารถเดินไปตามทางลงเขาไปเรื่อยๆ เพื่อลงไปที่หาดด้านล่างได้ แต่ว่าต้องใช้เวลาเดินลง เดินขึ้นนานพอสมควร เราเลยแค่เดินดูวิวทั่วๆ แล้วก็ไปที่อื่นต่อ
Angel Billabong
ย้ายที่จาก Kelingking Beach มา Angel Billabong เดินทางประมาณ 30 นาที จุดนี้เป็นแอ่งน้ำธรรมชาติ น้ำใสปิ๊ง เป็นแอ่งน้ำที่เหมือนสระน้ำทอดยาวไปสู่ทะเล เมื่อก่อนตอนเราเห็นรูปรีวิวคือสามารถลงไปยืนถ่ายรูปตรงแอ่งน้ำได้ แต่ตอนที่เราไปเค้าปิด ห้ามเดินลงไปแล้วค่ะ ได้แต่เดินถ่ายรูปรอบๆ
วิวรอบๆ จะหน้าผาหินปูนที่ถูกกัดเซาะเป็นเลเยอร์สวยงาม ไปหามุมถ่ายรูปสวยๆ ได้เลย
Broken Beach
Broken Beach อยู่ใกล้ๆ กับ Angel Billabong เป็นจุดที่เป็นหน้าผาที่โดนน้ำกัดเซาะ จนลักษณะกลายเป็นเหมือนสะพาน และมีน้ำลอดใต้สะพานเข้ามา สามารถเดินเล่นรอบๆ รวมถึงเดินไปจุดที่เป็นสะพานได้เลย น้ำฟ้าสวยมากๆ
Crystal Bay
สถานที่เที่ยวสุดท้ายของวัน Crystal Bay เป็นชายหาดที่มีลักษณะเป็นอ่าว ส่วนมากเราเห็นจะเป็นชาวต่างชาติไปอาบแดดกัน บริเวณหาดจะมีเตียงชายหาด และร้านขายของกิน อารมณ์แบบเตียงชายหาดบ้านเรา ให้นั่งชมวิวทะเลชิลๆ เห็นเค้าบอกกันว่าชมวิวพระอาทิตย์ตกที่นี่สวย แต่เรากลับก่อน
หลังจากเที่ยวครบเรียบร้อย เราให้คนขับรถไปส่งที่ “Secret Penida Cafe” ไปนั่งเล่นชมวิวพระอาทิตย์ตก
คาเฟ่บรรยากาศดีมาก มีอาหารให้เลือกเยอะ แนะนำมาก่อน 5 โมงเย็น เพราะหลังจากนั้นคือคนเยอะมาก ต้องนั่งรอคิวเลย ตอนเราไปถึงประมาณบ่าย 4 โมงนิดๆ ยังสามารถเลือกที่นั่งได้สบาย
ตอนพระอาทิตย์ตกวิวดีมาก แนะนำที่นั่งติดหาด มุมถ่ายรูปสวยเลยค่ะ
อาหารและเครื่องดื่มที่นี่ถือว่าอร่อยใช้ได้เลย ราคาไม่แรงมากด้วย
วันที่ 3 Nusa Penida Island ฝั่งตะวันออก
ช่วงเช้าของวันที่ 3 เรายังคงไปดำน้ำ 2 ไดฟ์ครึ่งวันเช้า และนัดรถมารับเพื่อไปเที่ยวตอน 13.00 น. เหมือนเดิมค่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้จะย้ายไปเที่ยวฝั่งตะวันออกกัน คือ
- Teletubies Hills
- Treehouse
- Diamond Beach
Teletubies Hills
เริ่มกันที่จุดแรก Teletubies Hills ตรงนี้เป็นเนินเขาสีเขียวๆ สลับๆ กันไป เหมือนเนินเขาในเรื่องเทเลทับบี้เลย ตอนเราไปเมฆเยอะมากแสงไม่ค่อยมีเลยไม่สวยเท่าไหร่
Nusa Penida Treehouse
ถ่ายรูปจุดแรกแบบเร็วๆ มาถึง Treehouse กันบ้าง จุดนี้คือบ้านต้นไม้ รูปที่เราเห็นบ่อยๆ กันใน IG นั่นเอง
ที่นี่มีจุดให้ถ่ายรูปหลายจุด ซึ่งหลายๆ จุดต้องเสียเงินค่าเข้าไปถ่ายรูปด้วย ส่วนสายฟรีอย่างเรา ถ่ายแค่ตรงที่ไม่ต้องเสียเงินนะ ฮ่าฮ่า
อีกจุดที่ต้องไปถ่ายคือ Thousand Islands Viewpoint อีกหนึ่งจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาดต้องเดินลงไปไกลพอประมาณ แต่ได้รูปมุมสวย คุ้มค่าแค่นอน
Diamond Beach
มาถึงที่เที่ยวจุดสุดท้าย Diamond Beach เราให้ที่นี่เป็นที่ที่สวยที่สุดที่เราได้ไปเที่ยวบน Nusa Penida เลย
ทางเดินลงไปที่หาดด้านล่าง จะเป็นบันไดข้างหน้าผา ยาวลงไปเรื่อยๆ ใครไม่อยากเดินไปถึงข้างล่าง แค่ถ่ายรูปตรงบันไดก็วิวสวยแล้ว
ช่วงสุดท้ายก่อนลงไปถึงหาด ทางเดินแบบโหดนะ แบบว่าต้องมีปีนป่าย มีเกาะเชือกค่อยๆ ปีนลงไปด้านล่าง ใครใส่แตะหูหนีบไป เตือนก่อนเลย ว่าอาจจะขาดได้ ฮ่าฮ่า เพราะซากรองเท้าแตะเพียบ
ที่นี่ก็มีชิงช้าและรังนกให้ถ่ายรูปเหมือนกัน แต่ต้องเสียค่าถ่ายรูป ซึ่งเราไม่ได้ถ่าย แหะๆ ลงไปถึงหาดด้านล่างคือดีมาก ควรเผื่อเวลาไว้เดินเล่น ถ่ายรูปชิลๆ สักพักนึงเลย
เสร็จจากที่เที่ยวก็ไปหาของกินมื้อเย็นกันต่อ วันนี้เราเลือกไปที่ “Coco Penida” ซึ่งพี่คนขับบอกว่า เป็นเจ้าของเดียวกับ Secert Penida ที่เราไปเมื่อวาน
เป็นร้านท็อปฮิตของที่นี่เลย เพราะคนเยอะมาก ถ้าไปเย็นมาก ไม่มีโต๊ะนั่งแน่นอน
อาหารจะมีเมนูคล้ายๆ กับร้านเมื่อวาน โดยรวมอร่อย แต่บางเมนูรอนานนิดนึง เพราะคนเยอะ อิ่มท้องแล้ว กลับที่พัก รอนั่งเรือกลับพรุ่งนี้เช้าค่ะ
วันที่ 4 Nusa Penida – Sanur – Uluwatu Temple – Ubud
เช้านี้เราทานอาหารเช้าที่ที่พักเรียบร้อย ให้รถของที่พักไปส่งที่ท่าเรือ ลืมบอกไปว่า เราซื้อตั๋วเรือแบบไป-กลับไว้เรียบร้อยแล้ว แค่ไปขึ้นตั๋วที่ท่าเรือ เหลือเวลานิดหน่อย แวะเดินหาของกินแถวๆ ท่าเรือ และเดินทางกลับไปที่ Sanur
ถึงท่าเรือ Sanur เราเช่ารถจากใน Klook เหมือนเดิมค่ะ ให้พาเราไปเที่ยวที่ Uluwatu Temple เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งในเกาะบาหลีเดินทางจาก Sanur ประมาณ 50 นาทีก็ถึงวัดเรียบร้อย
Uluwatu Temple
ก่อนอื่นซื้อตั๋วก่อนเลย ค่าตั๋วคนละ 30,000 IDR และก่อนเข้าที่วัดมีโสร่งให้ใส่คลุมก่อนเข้าวัดค่ะ
จุดเด่นของวัด Uluwatu Temple คือวัดตั้งอยู่บนหน้าผาสูง เราสามารถเดินชมวิวได้ตลอดทางริมหน้าผา
ไฮไลท์ของที่นี่คือ การชมพระอาทิตย์ตก แต่ว่าเวลาไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ เราก็เลยไม่ได้อยู่รอจนเย็นค่ะ
อีกหนึ่งจุดที่เห็นนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันเยอะเลย คือถ่ายรูปกับน้องลิง น้องลิงที่นี่ก็ชอบแย่งของจากมือเหมือนกับที่ไทยเลย ฮ่าฮ่า เดินไปใกล้ๆ น้องก็ระวังกันด้วยน้า
เสร็จจากเดินชมวิวที่ Uluwatu Temple เรียบร้อย ออกมาลุงคนขับพาแวะชิมกาแฟขี้ชะมดหน้าวัดซักนิด ที่นี่เค้าก็จะมีให้ชิมชาฟรีเยอะมากมายหลายอย่าง ชอบอันไหนก็ค่อยไปซื้อ แต่กาแฟขี้ชะมดอันนี้ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
จากนั้นเราเดินทางตรงไปที่ Ubud เพื่อเข้าที่พักกัน ที่พักที่ Ubud ของเราจองไว้ที่ Raditya Villas Ubud
ตามที่เราอ่านรายละเอียดก่อนจองก็คือ ที่พักไม่สามารถเข้าไปถึงได้ด้วยรถใหญ่ ต้องเข้าไปด้วยรถมอเตอร์ไซต์ หรือเดินเข้าไป ใจเราก็อ่ะ ไม่เป็นไรเดินก็ได้ อยากไปนอนกลางทุ่งนา แต่ปรากฏว่ามันเข้าไปไกลมากกก ซ้อนมอเตอร์ไซต์เจ้าของที่พักเข้าไป ยังประมาณเกือบ 10 นาที เป็นทางริมคันนาเล็กๆ รถมอเตอร์ไซต์สวนกันยังลำบาก ฮ่าฮ่า
แต่ในนั้นก็มีที่พักระหว่างทางหลายที่เลย ส่วนที่พักของเรา ส่วนตัวเราโอเคมากเลยนะ 2 คืนตกแล้วคืนละ 1,100 บาท ถ้าไม่นับว่าเข้าออกต้องรอเจ้าของที่พักออกไปรับส่ง ห้องใหญ่ วิวดี สะอาด อาหารเช้าอร่อย เจ้าของใส่ใจ บริการดีมากค่ะ
ใกล้ๆ มีร้านอาหาร สามารถเดินไปได้ ช่วงเย็นๆ มีนักท่องเที่ยวมาที่ร้านนี้เยอะเลย ประมาณว่าร้านเรตติ้งดี เราลองไปกินมื้อเย็น อาหารอร่อยใช้ได้เลย แต่ว่าไม่เห็นวิว เพราะว่าไปตอนมึดแล้ว แหะๆ
วันที่ 5 Lempuyang Temple – Tirta Gangga Water Palace – Suwat Waterfall
วันนี้เป็นคุณลุงคนขับจาก Klook คนเดิมมารับเราค่ะ เราออกเช้านิดนึงเพราะว่าต้องเดินทางไป Lempuyang Temple เพื่อไปถ่ายรูปประตูวัด (ประตูสวรรค์แห่งบาหลี) ที่มาบาหลีแล้วต้องได้รูปนี้กลับไป ไม่งั้นเดี๋ยวมาไม่ถึง ฮ่าฮ่า การเดินทางจาก Ubud ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
Lempuyang Temple
ไปถึงปุ๊บ จ่ายเงินค่าตั๋ว ใส่โสร่ง และไปซื้อตั๋วรถบัสขึ้นไปที่วัดกันเลย ค่าตั๋วเข้าวัดคนละ 55,000 IDR และค่ารถบัสคนละ 50,000 IDR ที่ตั๋วจะมีเลขอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ คิวที่เค้าเอาไว้เรียกถ่ายรูปประตูวัดนั่นเอง
ตอนเราไปถึง ไปส่องๆ ดูว่าเค้าเรียกคิวอะไรกันแล้ว แล้วก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย ตัววัดไม่กว้างมาก มีอยู่นิดเดียวเอง
ระหว่างเดินกลับมาจะมารอคิวถ่ายรูป มีฝรั่ง 2 คนเดินมาถามเราว่า จะถ่ายรูปมั้ย เค้ามีคิวก่อนเรา แต่เค้าขี้เกียจรอแล้ว เราก็เลยได้ขยับคิวขึ้นมาเร็วกว่าเดิม 3 คิว แหะๆ รอคิวประมาณ 45 นาที ซึ่งถือว่าเร็วมาก เพราะส่วนมากจากที่อ่านรีวิวมา เค้ารอกัน 2-3 ชั่วโมงเลย
ถ้าคิวก่อนหน้าเรามีแบบเป็นกลุ่มเยอะก็จะรอคิวนาน เพราะคิวเค้าไม่ได้นับคน เค้านับตามคิวที่ซื้อตั๋วพร้อมกัน อย่างเช่น มาเป็นกลุ่ม 5 คน ซื้อตั๋วพร้อมกันก็จะได้เลขคิวเดียว
คนถ่ายก็จะถ่ายโดยใช้มุมกระจกสะท้อนแบบนี้ โดยใช้มือถือเราถ่ายให้ เค้าจะถ่ายมาเป็นไซส์ 9:16 สำหรับลง Story หรือ IG Reels ได้เลย
ได้รูปที่ประตูวัดแล้ว สบายใจ กลับได้ ฮ่าฮ่า สิริรวมใช้เวลาอยู่ที่วัดทั้งหมดประมาณชั่วโมงนิดๆ จากนั้นเราไปต่อกันที่ Tirta Gangga Water Palace ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Lempuyang Temple
Tirta Gangga Water Palace
เป็นสวนน้ำหลวงที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาหลี ไฮไลท์คือ การไปถ่ายรูปกับฝูงปลาคาร์ป บรรยากาศด้านในเราชอบมากเลย ร่มรื่น เข้าไปเดินเล่นแล้วรู้สึกสดชื่น ค่าเข้าคนละ 50,000 IDR
Suwat Waterfall
จากนั้นเราเดินทางไปที่ Suwat Waterfall ที่บาหลีมีน้ำตกเยอะมากๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลย เราเลือกน้ำตกที่อยู่ระหว่างทางกลับ Ubud และเดินเข้าไปที่น้ำตกไม่ไกลมาก
Suwat Waterfall ก็เลยเป็นตัวเลือกของเรา เดินทางจาก Tirta Gangga Water Palace ประมาณชั่วโมงครึ่ง
Suwat Waterfall มีค่าเข้าคนละ 15,000 IDR ทางเดินเข้าไปน้ำตกไม่ไกล เดินไม่ยาก ทางเดินเข้าไปผ่านป่าไผ่ร่มรื่น
ไฮไลท์ของที่นี่ คือ การถ่ายรูปบนแพไม้ไผ่ จุดนี้จะมีชาวบ้านที่นั่น ว่ายน้ำลากแพออกไปให้เราค่ะ และถ่ายรูปให้เราด้วย ส่วนค่าใช้จ่าย อันนี้แล้วแต่เราเลยว่าจะให้ทิปเท่าไหร่ค่ะ
น้ำตกไม่ใหญ่ ได้รูปมาพอประมาณ และตรงแอ่งน้ำสามารถลงไปเล่นน้ำได้ เผื่อใครจะอยากไปเล่นน้ำตกชิลๆ
จากนั้นเราก็กลับที่พัก และเช่ามอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวรอบๆ Ubud ค่ะ เป็นเมืองที่มีคาเฟ่เยอะมากๆ
เราไปเดินตลาดนัด เป็นตลาดตอนกลางคืนที่คนท้องถิ่นเค้าไปหาของกินกัน มีร้านให้เลือกเยอะพอสมควร และราคาอาหารถูกมาก อิ่มเปรมปรีย์แบบสบายกระเป๋าสุดๆ
วันที่ 6 เดินทางกลับไทย
เช้านี้ไม่มีอะไรมาก ตื่นเช้าเช็คเอาท์และรอคุณลุงคนขับรถจาก Klook คนเดิม มารับจากโรงแรมไปส่งที่สนามบิน
ที่บาหลียังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะมาก เป็นอีกสถานที่เที่ยวที่ไม่ไกลจากไทยมาก สถานที่ท่องเที่ยวและธรรมชาติสวยงาม ที่สำคัญไม่ต้องใช้เวลาเที่ยวนาน ใครที่มีวันหยุดจำกัด ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับการไปท่องเที่ยวที่ดีมากๆเลย แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะคะ